ขณะที่สื่อไทยก็อยู่ในภาวะล้มละลายทางจรรยาบรรณไม่ต่างจากการเมือง
เพราะแทนที่สื่อจะทำหน้าที่เป็นปากเสียงและให้ความจริงกับประชาชนให้มีสติ
สัมปชัญญะและเกิดปัญญา แต่สื่อส่วนใหญ่กลับมีอคติและเลือกข้าง
ใส่ร้ายป้ายสีไม่ต่างกับกลุ่มผู้มีอำนาจ
ซึ่งพยายามปลุกระดมและกรอกหูความคลั่งชาติให้ประชาชนรักชาติอย่างไม่มีสติ
ไม่
ว่าจะเป็นกรณีสถาบันเบื้องสูง หรือปัญหาผู้นำกัมพูชา
ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากกรณีไทม์สออนไลน์ที่สัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ
ที่มีการพาดหัวที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง
แต่รัฐบาลและสื่อไทยกลับใช้โอกาสที่ไทม์สออนไลน์พาดหัวข่าวที่กระทบจิตใจคน
ไทยมาโจมตี เหมือนรับรองว่าอดีตนายกรัฐมนตรี
พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ให้สัมภาษณ์จริงตามพาดหัวข่าว
ทั้งที่ควรจะทำความจริงให้ปรากฏ หรือกรณีไทม์สออนไลน์ลงบทบรรณาธิการชี้แจง
ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญที่ประชาชนควรรับรู้
เพื่อจะได้ใช้เป็นวิจารณญาณว่าอะไรจริงอะไรเท็จ
แต่ก็ไม่มีสื่อไทยใดเอามาเผยแพร่
นอกจากเสนอข่าวไม่ต่างกับเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล
ขณะที่ปัญหา
คอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้มากมาย
โดยเฉพาะโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนับแสนล้านบาท สื่อกลับให้ความสนใจน้อยมาก
ทั้งที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ที่ทำให้บ้านเมืองหายนะล่มจม
สื่อใน
ช่วงสถานการณ์ที่ผ่านมามีความสำคัญ
เราต้องกลับมาทบทวนช่วงที่บ้านเมืองมีวิกฤต
อยู่ที่ว่าเราต้องการสื่อเพื่อจุดปัญญา จุดแสงสว่างให้สังคม
หรือต้องการให้สื่อจุดไฟของความร้อนแรง
แล้วทำให้คนไทยแตกแยกฆ่ากันตายมากขึ้น
นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวในการสัมมนา สื่อและประชาธิปไตยในวิกฤต : บทบาทและความรับผิดชอบของสื่อ
ขณะ
ที่นายกิตติศักดิ์ปรกติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ให้ความเห็นว่า
สื่อปัจจุบันไม่ได้ส่งเสริมคุณค่าของประชาธิปไตยอย่างจริงจัง
แต่ยังคาดหวังว่าในอนาคตสื่อจะตระหนักว่าตนเองเป็นสะพานข้ามของคุณธรรม
เป็นสะพานข้ามของความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
จากความสัมพันธ์ตามชาติกำเนิดมาเป็นความสัมพันธ์ตามสมัครใจของคนสมัยใหม่
โดยสื่อมวลชนต้องยึดในคุณธรรม 4 ข้อคือ
1.บทบาทของสื่อต้องต่อ สู้ให้การปกครองโดยกฎหมายเป็นใหญ่
2.สื่อมวลชนต้องต่อสู้เพื่อประชาสังคม
3.สื่อ
มวลชนต้องต่อสู้เพื่อวัฒนธรรมประชาธิปไตย คือการปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมความ
คิดเห็น หรือผู้มีความเห็นแตกต่างกันอย่างเสมอภาค ถ้อยทีถ้อยอาศัย
4.สื่อมวลชนต้องต่อสู้เพื่อ ให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม
หยุดวิกฤตหรือกลียุค!
ดัง
นั้น ฝ่ายที่กุมอำนาจอยู่ขณะนี้
ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์หรือกลุ่มอำมาตย์ต่างไม่ต้องการให้มีการเลือก
ตั้ง เพราะกลัวจะพ่ายแพ้ฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งก็คือเสียงของประชาชน
การ
คืนอำนาจกลับสู่ประชาชนโดยการให้เข้าคูหาเลือกตั้งทุกๆ 4 ปี คือการประนี
ประนอมเพื่อประชาธิปไตยอย่างนุ่มนวลที่สุด
เพราะถึงที่สุดแล้วคนไทยมีจิตใจอ่อนโยนและอดทนสูงมาตลอดตั้งแต่ปี 2475
ความยุติธรรมคือสิ่งสำคัญมากกว่าการปกครองด้วยระบอบใด กล่าวคือ ประเทศไทย
แทบไม่เคยมีประชาธิปไตยที่แท้จริงเลยสักครั้ง แต่ก็อยู่กันได้ อดทนได้
เพราะยังพอพึ่งพาบารมีแห่งสิ่งสถิตซึ่งความยุติธรรม
วันเวลาแห่งความ
อดทนและประนีประนอมอาจถึงจุดที่ยากจะหวนคืน
สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นเพื่อความสงบอย่างแท้จริงคือการคืนอำนาจกลับสู่ประชาชน
มิฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนอกจากโค่น
ล้มกากเดนเผด็จการอย่างถอนรากถอนโคนแล้ว
อาจจะพานพาไปกระทบอำนาจเก่าแก่ให้พากันล้มครืนไปเสียทั้งหมดก็เป็นได้
วันนี้
กลุ่มอำมาตย์และพวกพ้องจึงต้องสำเหนียกว่าไม่ว่าจะใช้อำนาจเผด็จการหรือ
อำนาจนอกระบบใดๆมาบิด เบือนหรือตอแหล ก็ไม่มีวันที่ปิดกั้น ความจริงได้
โดยเฉพาะสื่อยุคโลกาภิวัตน์ไร้พรม
แดนที่ไม่เคยปิดกั้นสำหรับประชาชนทุกคนที่จะต่อสู้เพื่อความยุติธรรม
ระบอบตอแหล
ยุค
ที่ประเทศเพื่อนบ้านก้าวล้ำนำสมัยสู่การสื่อสารยุค 3G กันหมดแล้ว
ในขณะที่ไทยยังทะเลาะกันไม่เลิก
และพร้อมที่จะก้าวสู่สงครามชิงซากโบราณสถาน มรดกแห่งบรรพบุรุษ
ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าประวัติศาสตร์แต่ละชาติต่างคนต่างเขียนเข้าข้างตนเอง
ยุค
ที่สงครามการค้าและสงครามสื่อสารไร้พรมแดนสำคัญกว่าการแย่งชิงเขตแดน
การบุกรุกล้ำแดนเข้าสู่ราชอาณาจักรด้วยอาวุธวัฒนธรรม การเงิน การสื่อสาร
คือสงครามรูปแบบใหม่ที่อุบัติขึ้นแล้วจริงๆ
วันนี้วันที่คนไทยกำลัง
แสดงความรักชาติ และพร้อมประกาศสงครามกับเพื่อนบ้าน
อาจมิทันรู้ตัวว่าลูกหลานไทยของเราตกเป็นเชลยสงครามวัฒนธรรมจากเกาหลีกันหมด
แล้วหรือไม่
หลังโค่นระบอบอภิสิทธิ์ลงเรียบร้อยแล้ว เห็นทีจะต้องถอนรากถอนโคนระบอบตอแหลลงเสียในคราวเดียวกัน
เพราะแทนที่สื่อจะทำหน้าที่เป็นปากเสียงและให้ความจริงกับประชาชนให้มีสติ
สัมปชัญญะและเกิดปัญญา แต่สื่อส่วนใหญ่กลับมีอคติและเลือกข้าง
ใส่ร้ายป้ายสีไม่ต่างกับกลุ่มผู้มีอำนาจ
ซึ่งพยายามปลุกระดมและกรอกหูความคลั่งชาติให้ประชาชนรักชาติอย่างไม่มีสติ
ไม่
ว่าจะเป็นกรณีสถาบันเบื้องสูง หรือปัญหาผู้นำกัมพูชา
ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากกรณีไทม์สออนไลน์ที่สัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ
ที่มีการพาดหัวที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง
แต่รัฐบาลและสื่อไทยกลับใช้โอกาสที่ไทม์สออนไลน์พาดหัวข่าวที่กระทบจิตใจคน
ไทยมาโจมตี เหมือนรับรองว่าอดีตนายกรัฐมนตรี
พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ให้สัมภาษณ์จริงตามพาดหัวข่าว
ทั้งที่ควรจะทำความจริงให้ปรากฏ หรือกรณีไทม์สออนไลน์ลงบทบรรณาธิการชี้แจง
ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญที่ประชาชนควรรับรู้
เพื่อจะได้ใช้เป็นวิจารณญาณว่าอะไรจริงอะไรเท็จ
แต่ก็ไม่มีสื่อไทยใดเอามาเผยแพร่
นอกจากเสนอข่าวไม่ต่างกับเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล
ขณะที่ปัญหา
คอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้มากมาย
โดยเฉพาะโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนับแสนล้านบาท สื่อกลับให้ความสนใจน้อยมาก
ทั้งที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ที่ทำให้บ้านเมืองหายนะล่มจม
สื่อใน
ช่วงสถานการณ์ที่ผ่านมามีความสำคัญ
เราต้องกลับมาทบทวนช่วงที่บ้านเมืองมีวิกฤต
อยู่ที่ว่าเราต้องการสื่อเพื่อจุดปัญญา จุดแสงสว่างให้สังคม
หรือต้องการให้สื่อจุดไฟของความร้อนแรง
แล้วทำให้คนไทยแตกแยกฆ่ากันตายมากขึ้น
นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวในการสัมมนา สื่อและประชาธิปไตยในวิกฤต : บทบาทและความรับผิดชอบของสื่อ
ขณะ
ที่นายกิตติศักดิ์ปรกติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ให้ความเห็นว่า
สื่อปัจจุบันไม่ได้ส่งเสริมคุณค่าของประชาธิปไตยอย่างจริงจัง
แต่ยังคาดหวังว่าในอนาคตสื่อจะตระหนักว่าตนเองเป็นสะพานข้ามของคุณธรรม
เป็นสะพานข้ามของความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
จากความสัมพันธ์ตามชาติกำเนิดมาเป็นความสัมพันธ์ตามสมัครใจของคนสมัยใหม่
โดยสื่อมวลชนต้องยึดในคุณธรรม 4 ข้อคือ
1.บทบาทของสื่อต้องต่อ สู้ให้การปกครองโดยกฎหมายเป็นใหญ่
2.สื่อมวลชนต้องต่อสู้เพื่อประชาสังคม
3.สื่อ
มวลชนต้องต่อสู้เพื่อวัฒนธรรมประชาธิปไตย คือการปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมความ
คิดเห็น หรือผู้มีความเห็นแตกต่างกันอย่างเสมอภาค ถ้อยทีถ้อยอาศัย
4.สื่อมวลชนต้องต่อสู้เพื่อ ให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม
หยุดวิกฤตหรือกลียุค!
ดัง
นั้น ฝ่ายที่กุมอำนาจอยู่ขณะนี้
ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์หรือกลุ่มอำมาตย์ต่างไม่ต้องการให้มีการเลือก
ตั้ง เพราะกลัวจะพ่ายแพ้ฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งก็คือเสียงของประชาชน
การ
คืนอำนาจกลับสู่ประชาชนโดยการให้เข้าคูหาเลือกตั้งทุกๆ 4 ปี คือการประนี
ประนอมเพื่อประชาธิปไตยอย่างนุ่มนวลที่สุด
เพราะถึงที่สุดแล้วคนไทยมีจิตใจอ่อนโยนและอดทนสูงมาตลอดตั้งแต่ปี 2475
ความยุติธรรมคือสิ่งสำคัญมากกว่าการปกครองด้วยระบอบใด กล่าวคือ ประเทศไทย
แทบไม่เคยมีประชาธิปไตยที่แท้จริงเลยสักครั้ง แต่ก็อยู่กันได้ อดทนได้
เพราะยังพอพึ่งพาบารมีแห่งสิ่งสถิตซึ่งความยุติธรรม
วันเวลาแห่งความ
อดทนและประนีประนอมอาจถึงจุดที่ยากจะหวนคืน
สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นเพื่อความสงบอย่างแท้จริงคือการคืนอำนาจกลับสู่ประชาชน
มิฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนอกจากโค่น
ล้มกากเดนเผด็จการอย่างถอนรากถอนโคนแล้ว
อาจจะพานพาไปกระทบอำนาจเก่าแก่ให้พากันล้มครืนไปเสียทั้งหมดก็เป็นได้
วันนี้
กลุ่มอำมาตย์และพวกพ้องจึงต้องสำเหนียกว่าไม่ว่าจะใช้อำนาจเผด็จการหรือ
อำนาจนอกระบบใดๆมาบิด เบือนหรือตอแหล ก็ไม่มีวันที่ปิดกั้น ความจริงได้
โดยเฉพาะสื่อยุคโลกาภิวัตน์ไร้พรม
แดนที่ไม่เคยปิดกั้นสำหรับประชาชนทุกคนที่จะต่อสู้เพื่อความยุติธรรม
ระบอบตอแหล
ยุค
ที่ประเทศเพื่อนบ้านก้าวล้ำนำสมัยสู่การสื่อสารยุค 3G กันหมดแล้ว
ในขณะที่ไทยยังทะเลาะกันไม่เลิก
และพร้อมที่จะก้าวสู่สงครามชิงซากโบราณสถาน มรดกแห่งบรรพบุรุษ
ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าประวัติศาสตร์แต่ละชาติต่างคนต่างเขียนเข้าข้างตนเอง
ยุค
ที่สงครามการค้าและสงครามสื่อสารไร้พรมแดนสำคัญกว่าการแย่งชิงเขตแดน
การบุกรุกล้ำแดนเข้าสู่ราชอาณาจักรด้วยอาวุธวัฒนธรรม การเงิน การสื่อสาร
คือสงครามรูปแบบใหม่ที่อุบัติขึ้นแล้วจริงๆ
วันนี้วันที่คนไทยกำลัง
แสดงความรักชาติ และพร้อมประกาศสงครามกับเพื่อนบ้าน
อาจมิทันรู้ตัวว่าลูกหลานไทยของเราตกเป็นเชลยสงครามวัฒนธรรมจากเกาหลีกันหมด
แล้วหรือไม่
หลังโค่นระบอบอภิสิทธิ์ลงเรียบร้อยแล้ว เห็นทีจะต้องถอนรากถอนโคนระบอบตอแหลลงเสียในคราวเดียวกัน