“พัลลภ”ออกโรงเตือน หยุด2มาตรฐานก่อนจลาจลนองเลือด คนไทยกำลังจะทนอยุติธรรมไม่ได้

เรื่องจากปก จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 17 ธันวาคม 2009

เตือนหยุด2มาตรฐานก่อนจลาจลนองเลือด

“พัลลภ” ออกโรงเตือนทุกฝ่ายที่มีหน้าที่อำนวยความยุติธรรมหยุดกระทำ 2 มาตรฐานในทุกกรณีหากไม่อยากให้เกิดความรุนแรงขึ้นในสังคม เพราะคนไทยกำลังจะทนต่อความอยุติธรรมไม่ได้ ป้อง “เสธ.แดง” วิจารณ์ ผบ.ทบ. ในฐานะเพื่อน แฉทหารบางคนบินไปตีกอล์ฟเมืองนอกกลับมาได้ติดยศพลเอกเฉย ด้าน “เสธ.แดง” ยื่นเรื่องกรมพระธรรมนูญเอาผิด “อนุพงษ์” พาผู้นำเหล่าทัพออกทีวี.บีบ “สมชาย” ทิ้งเก้าอี้นายกฯ รมว.กลาโหมสวนทันควันเรื่องเก่า เผยยังไม่กำหนดวันตัดสินลงโทษ “เสธ.แดง”

วัน ที่ 16 ธ.ค. 2552 ที่กรมพระธรรมนูญ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก นำเอกสารและหลักฐานเรื่องการสอบสวน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ไปมอบให้กับกรมพระธรรมนูญ เพื่อขอให้พิจารณาความผิดของ ผบ.ทบ. กับความผิดของตนเองอย่างเท่าเทียมกัน

“พล.อ. อนุงพษ์เคยถูกร้องเรียนว่าทำความผิดตามมาตรา 32 ของประมวลกฎหมายอาญาทหารเหมือนกันในเรื่องการใส่ร้ายผู้บังคับบัญชา หากจะดำเนินคดีกับผมในเรื่องนี้ก็ต้องดำเนินคดีกับ พล.อ.อนุงพษ์ให้เท่าเทียมกันด้วย ไม่ใช่ใช้ 2 มาตรฐาน มีอคติ” เสธ.แดงกล่าว

ที่ พรรคเพื่อไทย พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรค กล่าวว่า กองทัพควรขอบคุณ เสธ.แดงที่ช่วยดูแลอดีตทหารพรานที่เข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. ที่ผ่านมา ส่วนกรณี พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ออกมาระบุว่า มีคนเสื้อแดงแอบแต่งชุดทหารพรานนั้น เกลียดคนพวกนี้เพราะชอบรายงานเท็จ ซึ่งถือเป็นการทำลายผู้บังคับบัญชาทางอ้อม ทำให้ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด จึงอยากเตือนไปถึง พล.อ.อนุงพษ์ให้ระวังคนพวกนี้ให้ดี

“ที่ว่า เสธ.แดงพูดถึง พล.อ.อนุพงษ์แรง เพราะเขาพูดในฐานะเพื่อน ทหารเรายึดคติไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน หากจะลงโทษ เสธ.แดงก็อย่าทำอะไร 2 มาตรฐาน เพราะมีทหารบางคนหนีราชการไปตีกอล์ฟที่คุนหมิน ประเทศจีน แต่พอกลับมากลับได้เลื่อนยศเป็นพลเอก หากยังทำอะไร 2 มาตรฐานเกินกว่าจะรับได้อาจทำให้เกิดสงครามกลางเมือง” พล.อ.พัลลภกล่าวพร้อมย้ำว่า ความรุนแรงในสังคมจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความยุติธรรมในการดำเนิน เรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ เสธ.แดง ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือคดียุบพรรคไทยรักไทยที่ได้นำความจริงมาเปิดเผย นิสัยคนไทยทนทุกอย่างได้แต่ทนความอยุติธรรมไม่ได้

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับ เสธ.แดงอย่างเต็มที่ ส่วนจะพิจารณาโทษได้เมื่อไรนั้นขณะนี้ปลัดกระทรวงกลาโหมกำลังพิจารณาตามขั้น ตอน

ผู้สื่อข่าวถามว่า เสธ.แดงไปยื่นเรื่องให้เอาผิด พล.อ.อนุพงษ์ที่ไปออกโทรทัศน์ข่มขู่ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “เรื่องนี้เก่าแล้ว”

ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า การดำเนินการกับ พล.ต.ขัตติยะเป็นไปตามขั้นตอน ไม่มีการกลั่นแกล้ง ส่วนเรื่องที่ พล.ต.ขัตติยะยื่นเรื่องต่อกรมพระธรรมนูญให้ดำเนินการกรณีที่เคยไปออกรายการ โทรทัศน์และขับไล่นายสมชายนั้น สามารถทำได้ ไม่มีปัญหา

คอลัมน์ โต๊ะกลมระดมความคิด
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 17 ธันวาคม 2009
โดย ดร.ดำรงค์ เปลี่ยนศรีศร

ความคิดแตกหักของอำมาตย์กำหนดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง

ระยะ นี้ใครต่อใครกล่าวถึงเรื่องสมานฉันท์ปรองดองกันมาก แม้กระทั่งคนที่ไม่อยากสมานฉันท์เขาก็ยังพูดถึงเรื่องนี้ แต่ใครจะเข้าใจประเด็นสมานฉันท์ไปอย่างไรนั้นคงเป็นอีกเรื่อง...นอกจากมีการ พูดถึงเรื่องสมานฉันท์แล้ว ยังคงมีอีกบางหัวข้อซึ่งได้รับการเอ่ยถึงด้วยเช่นกัน มีอยู่สองประเด็นน่าสนใจพอๆกับการสมานฉันท์ ทั้งอาจจัดให้เป็นการเรียงลำดับเรื่องอันเกี่ยวเนื่องหรืออยู่ในบริบทของ เนื้อหาซึ่งใกล้เคียง ทั้งสองหัวข้อนั้นคือการเปลี่ยนผ่านทางประวัติศาสตร์หรือการแก้ปัญหาของ ประเทศในเชิงโครงสร้าง? และสุดท้ายคือคำว่า “แตกหัก”

แม้จะมีเสียง เรียกร้องสมานฉันท์ แต่เข้าใจว่าศูนย์กลางอำนาจดึกดำบรรพ์ของระบอบอำมาตยาธิปไตยคงไม่ได้มีความ คิดอะไรที่จะประนีประนอม ตลอดจนคงไม่ยอมง่ายๆที่จะปลดปล่อย คืนความมีเหตุผลให้แก่สังคมไทย พวกเขาคิดและเห็นแต่ทางพ่ายแพ้ของฝ่ายตัวเองหากจะรีบเร่งจัดให้มีการเลือก ตั้งเสียใหม่ แนวความคิดโบราณเหล่านี้ยังไม่ได้ขับเคลื่อนไปไหน ความจริงได้มีการพยายามมาหลายครั้งที่จะผลักดันสถานการณ์ให้เคลื่อนเข้าสู่ จุดที่มีเงื่อนไขทำการล้อมปราบม็อบเสื้อแดงให้ได้ แต่หมากต่างๆไม่ลงตัว หรือบางครั้งข่าวสารความลับก็หลุดออกมาเสียก่อน เหมือนตัวอย่างจากกรณีข้อมูลของการเตรียมเอาแรงงานต่างด้าวปลอมเป็นแดงเทียม เข้าไปร่วมชุมนุม

ความคิดที่จะแตกหักในสังคมไทยนั้นมิได้จางหายไปไหน นี่จึงเป็นสิ่งที่สัมพันธ์ ดำเนินไปควบคู่กับการยืดอายุของรัฐบาลชุดนี้ให้ได้นานที่สุด แม้จะเป็นแผนงานที่ต้องคิดอะไรกันเป็นรายวันในบางครั้ง กลุ่มคนเหล่านี้ห่างไกลสำหรับระบบคิดที่จะสมานฉันท์ด้วยอาการบริสุทธิ์ใจ สมานฉันท์ในความหมายของพวกเขาเป็นเพียง “เกม” เป็นวิธีหลอกล่อเชิงลูกไม้ที่จะถูกงัดเอามาใช้ในบางสถานการณ์เท่านั้น แล้วสมานฉันท์ยังอาจหมายถึงการที่อีกข้างต้องยอมยกธงขาวให้โดยไม่มีเงื่อนไข ใดๆ หากมองให้โอกาสแก่การสมานฉันท์ที่จะเกิดขึ้นได้ เป็นความยินยอมพร้อมใจของกลุ่มผลประโยชน์ทุนนิยมเก่าผูกขาดเหล่านี้ มันอาจถูกผลักดันออกมาใช้ในลักษณะของการเจรจาเพื่อพักรบถ้าเห็นว่าฝ่ายตน อยู่ในจุดเสียเปรียบหรือสถานการณ์ตั้งรับ?

เมื่อพิจารณาถึงโอกาส สมานฉันท์ดังนี้ของฝ่ายอำมาตย์กับอำนาจเครือข่ายแล้ว จึงมีความจริงบางอย่างที่นักยุทธศาสตร์แนวสันติวิธีในสังคมไทยจำต้องคำนึง ถึง ได้แก่ ความจำเป็นของการกดดันและสร้างพลังต่อรองให้เหนือกว่าฝ่ายอำมาตย์เท่านั้น จึงจะบีบให้คนเหล่านี้ยินยอมเข้าสู่หนทางเจรจาเพื่อให้เกิดการสมานฉันท์ได้ ทรรศนะนี้เป็นเรื่องเดียวกันกับการตีความว่าโอกาสที่สังคมไทยจะเกิดการ เปลี่ยนผ่านโดยสันติ มีความเข้มแข็งเป็นปึกแผ่นของฝ่ายประชาธิปไตยก้าวหน้ากลายเป็นพื้นฐานของ ปัจจัยสำคัญอยู่ด้วย?

ปัญหาตรงนี้เท่ากับเป็นการบีบบังคับโดยมติ ของมหาชนที่ตัดสินใจเลือกวิถีทางของประชาธิปไตยที่แท้จริง มิใช่ประชาธิปไตยที่แทรกแซงและแฝงฝังกับระเบิดทางอำนาจเอาไว้ ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายว่าจะมีความเป็นไปได้สักเพียงใดในสังคมไทย? กระบวนการเสื้อแดงอาจต้องสวมใส่สีเสื้อเดิมแต่ประกาศและเปลี่ยนตัวเองให้ กลายเป็นกระบวนการประชาธิปไตยที่มีพลัง มีเอกภาพ แล้วมียุทธศาสตร์การต่อสู้ตามลำดับขั้น เริ่มต้นจากการเจรจาต่อรองเพื่อสร้างดุลอำนาจ แต่มีข้อสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าฝ่ายอำมาตยาธิปไตยนั้นจะยินยอมหรือไม่? เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มักใช้ใจคิดมากกว่าสติปัญญา หากพวกเขายังยึดความคิดกับแนวทางสู้ตรงนี้ สู้ที่นี่ เพราะชาติเป็นของฝ่ายตัวเองเท่านั้น หนทางของการสมานฉันท์สำหรับเปลี่ยนผ่านสังคมด้วยวิธีสันติก็น่าจะเป็นไปได้ ยากลำบาก?

ยังมีเหตุผลสำคัญอีกข้อที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านโดยวิถีทางไหนก็ตาม มันคงต้องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาของชาติที่ต้องคิดในเชิงโครงสร้าง เพราะไม่แก้โครงสร้างย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปสู่จุดของการมีดุลยภาพ เมื่อเป็นระดับโครงสร้างเสียแล้ว ไม่แตกต่างไปจากการถูกทุบตรงขนดหางของพญานาค ถามว่าสังคมที่ลึกซึ้งกับกระบวนการสร้างพลเมืองให้เป็นไพร่ทางประชาธิปไตยจะ หนักแน่นยินยอมได้หรือ? แม้ศูนย์กลางของอำนาจจะยอมลดราวาศอก แต่ศูนย์กลางก็มีสภาวะกดดันจากบริวาร ซึ่งเป็นวงแหวนโคจรอยู่ บางทีผลประโยชน์ที่เคยได้รับและผูกขาดเอาไว้มากมายน่าหวงแหนจนเกินกว่าจะ ปล่อยวาง ยินยอมให้เกิดการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างเพื่อแก้ไขปัญหา

เมื่อ เราเฝ้ามองอนาคตของสังคมไทยด้วยเหตุปัจจัย การคลายหรือแก้ไขปัญหาอย่างถึงรากลึกเห็นจะหนีไม่พ้นการปรับเปลี่ยนเชิงโครง สร้าง ซึ่งอาจชี้ได้ว่ากลุ่มอำมาตยาธิปไตยเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายจุดชนวนระเบิดขึ้น มาอย่างโง่เขลา แล้วส่งผลไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่แตกหักและรุนแรง...

คอลัมน์ ฉุก(ละหุก)คิด
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 17 ธันวาคม 2009
โดย นายหัวดี

เขียวคล้ำ!

ทิ้งปริศนาเรื่อง “แท็กทีม” ที่ “สีเขียว” พาเหรดตบเท้าเข้า “ก๊วนเพื่อนแม้ว”

ไม่ใช่วิวาทะของ “เสธ.แดง” กับ “บิ๊กป๊อก” หรือ “สีเขียวตุ๊ดหน้าหวาน”

แต่ โลก “สีเขียว” ครั้งนี้เหมือนการจัดแถวใหม่ระหว่าง “ขั้วอำนาจใหม่” กับ “ขั้วอำนาจเก่า” ที่เป็นการท้าทายอำนาจที่ฝังรากลึกมายาวนาน
เพราะทุก ครั้งที่เกิด “วงจรอุบาทว์” ก็จะเกิด “เศรษฐีใหม่สีเขียว” และการตอบแทนตำแหน่งให้กับ “ลูกกระป๊อ” ที่เลียแข้งเลียขา แม้จะข้ามหัวหงอก หัวเกรียนกี่คนก็ตาม

ยิ่งโลกของ “สีเขียว” ยุค “อีแดง-ไอ้ด่าง” ยิ่งตกต่ำสุดกู่ แม้ยังไม่ตกไปถึงขุมนรกอเวจี แต่ก็แทบไม่เหลือศักดิ์ศรี เพราะยอมอยู่ใต้รักแร้ “อีแอบ”
พวกลูกกระป๊อ โดยเฉพาะ “ตุ๊ดหน้าหวาน” จึงได้ดิบได้ดี ทั้งไม่เคยออกรบ อย่างที่ “เสธ.แดง” ตั้งฉายาว่าเป็นพวก “หมาเยี่ยวรดภูเขา”…(ฮา)

วิกฤต “อีแดง-ไอ้ด่าง” ที่วันนี้จึงยิ่งทำให้โลกของ “สีเขียว” เป็น “เขียวช้ำเลือดช้ำหนอง” และ “เขียวคล้ำ”

แถมยังแยกขั้ว แยกพวก แยกสี แยกรุ่น และแยกความเป็นพี่น้อง!

ไม่ ต่างกับประชาชีในยุคสยามไม่ยิ้ม ที่เป็นทั้ง “เหยื่อ” และ “เบี้ย” ไม่มีราคาให้ “อีแอบ” และพวกพ้องใช้เป็นเกราะคุ้มกัน “ลาภ ยศ สรรเสริญ” ที่มีแต่ “ของกูและพวกกู”

การออกมาประกาศ “แท็กทีม” ของ “สีเขียว” ที่ตบเท้าเข้า “ก๊วนเพื่อนแม้ว” จึงเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า หากสัตว์การเมืองและบรรดา “เขียวช้ำเลือดช้ำหนอง” ยังซุกอยู่ใต้รักแร้ “อีแอบ” ก็ยากที่จะหนีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้

การตบเท้าล่าสุดของ “เขียวป่าหวาย” จึงไม่ใช่การสร้างฉากเหมือนอย่างที่ “ทูตเด็กเส้น” พยายามทำกับ “แพะศิวรักษ์” มาแล้ว

ส่วนจะเป็นแค่ “เขียวแก่” ที่ไร้น้ำยาอย่างที่ “สะตอ” ปากไม่มีหูรูดสบประสาทหรือไม่นั้น

แค่ “เสธ.ไอซ์” ที่ประกาศชน “บิ๊กบัง” ที่วัดกันถึง “ศักดิ์ศรี” ก็นับว่าน่าตื่นเต้นอย่างยิ่งแล้ว

ยังไม่รวม “เสธ.แดง” ที่กำลังถูก “ตราชั่ง” ที่เอียงกระเท่เร่ ผลักดันให้ถอดเครื่องแบบออกชนเต็มตัวกับ “เขียวช้ำเลือดช้ำหนอง” อีก

แม้ “สงครามมวลชน” จะไม่เหมือนในสงครามในสนามรบที่ถืออาวุธไล่ฆ่ากัน เพื่อเอาชีวิตแลกกับชีวิต แต่ก็ตายกับตายเหมือนกัน

เพียงแต่จะเป็น “ตายแบบไร้วิญญาณ” หรือ “ตายทั้งเป็น” เท่านั้น!