ยุบ–ไม่ยุบ" พรรคประชาธิปัตย์เป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกเมื่อ กกต.มีปัญหาในการลงมติกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ปรากฏว่าคะแนนที่ออกมาไปคนละทิศละทาง และยังเกิดปัญหาขัดแย้งระหว่าง กกต.ด้วยกันเอง
มติ 3 ต่อ 2 นั้นคือ นายประพันธ์ นัยโกวิท นายสมชัย จึงประเสริฐนางสดศรี สัตยธรรม เห็นว่าควรจะให้นายทะเบียนพรรคตัดสินชี้ขาด นายวิสุทธิ์ โพธิ์แท่น เห็นว่าควรจะให้ยุบพรรค แต่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ เห็นว่าควรยกคำร้อง
ซึ่งความเห็นของนายอภิชาตที่ให้ยกคำร้องนั้นตรง กับความเห็นของคณะอนุกรรมการที่ไปดำเนินการสอบสวนและได้ข้อสรุปว่าควรจะยกคำ ร้องหรือให้ยุติเรื่อง แสดงว่าไม่มีความผิดเกิดขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้นายอภิชาตนอกจากดำรงตำแหน่งประธาน กกต. แล้วยังควบตำแหน่งนายทะเบียนพรรคการเมืองด้วย
จึงต้องรับหน้าเสื่อไปเต็มๆ
จาก นั้นยังมีความเห็นต่างกันตามมาอีก เมื่อนางสดศรีระบุว่าถ้าหากนายทะเบียนมีความเห็นว่าควรยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็ส่งเรื่องให้อัยการได้เลย ไม่ต้องนำเข้าที่ประชุม กกต.แต่ถ้ามีความเห็นว่าควรยกคำร้องก็ต้องนำเข้าที่ประชุม กกต.เพื่อลงมติ
แต่ ปรากฏว่าความเห็นของนางสดศรีต่างกับความเห็นของกกต.อีก 2 คน ซึ่งตรงกับความเห็นของนายอภิชาตที่ระบุว่า หากนายทะเบียนพรรคเห็นว่าสมควรยกคำร้องก็ดำเนินการได้เลย เพียงแต่ แจ้งให้ที่ประชุม กกต.รับทราบเท่านั้น ไม่มีการลงมติใดๆ
เว้นแต่มี ความเห็นว่าสมควรยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็จะเสนอให้ กกต.ลงมติเพื่อให้ความเห็นชอบแล้วจึงส่งให้อัยการพิจารณาว่าสมควรจะส่งให้ ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดในขั้นสุดท้ายหรือไม่
จะเห็นได้ว่าความเห็นของทั้ง 3 กกต.จะต่างกับความเห็นของนางสดศรีแบบตรงกันข้าม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตีความกันอย่างไร
นี่ เป็นเพียงแค่ระเบียบปฏิบัติ ไม่ใช่การตีความด้านกฎหมายก็ยังนัวเนียถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะนางสดศรีนั้นมักชอบออกข่าว ชอบพูด ชอบแสดงความเห็นจนเกิดปัญหามาหลายครั้ง
ที่สำคัญมักจะสวนทางกับประธาน กกต.อยู่เสมอ
และเป็นเป้าทำให้คนภายนอกมองเห็นว่าใน กกต.ก็มีความแตกแยก เป็นช่องทางที่ทำให้ถูกโจมตีในเรื่องมาตรฐานการพิจารณาตัดสิน
อย่าง ไรก็ดี เมื่อมาถึงขั้นนี้จึงอยู่ที่ว่านายอภิชาตในฐานะนายทะเบียน พรรคการเมืองจะตัดสินอย่างไร เพราะมันชัดเจนแล้วว่ามีความเห็นให้ยกคำร้อง ดังนั้น เมื่อมีอำนาจตัดสินใจเต็มๆ ก็คงต้องยืนความเห็นเดิม จะมากลับลำกลางทางก็จะเสียคนได้
หากเป็นเช่นนี้ประชาธิปัตย์ก็รอดตัวไป
แต่ นายอภิชาตคงจะถูกตีกระหน่ำอย่างแน่นอนด้วยข้อกล่าวหาต่างๆนานา โดยเฉพาะเยื่อใยที่มีต่อประชาธิปัตย์ แม้จะยืนยันว่าการตัดสินใจต่างๆในฐานะเคยเป็นผู้พิพากษาต้องว่ากันไปตาม กฎหมาย พยานหลักฐานต่างๆ
ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่านายอภิชาตจะแสดงเหตุผล คำอธิบายให้สังคมยอมรับได้มากน้อยแค่ไหนว่าการให้ยกคำร้องนั้นรับฟังได้หรือ ไม่ สามารถตอบโจทย์ตอบคำถามได้ครบถ้วนกระบวนความหรือไม่
ที่สำคัญก็ คือข้อกล่าวหาว่าองค์กรอิสระในปัจจุบันดำเนินการในลักษณะ 2 มาตรฐาน โดยเฉพาะจากพรรคเพื่อไทย เสื้อแดง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ดังนั้น การตัดสินใจของนายอภิชาตและคำอธิบายต่างๆ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้เห็นว่าการชี้ขาดต่างๆ เป็นไปตามข้อกฎหมาย พยาน หลักฐานที่ปรากฏ ไม่ใช่ 2 มาตรฐานดังข้อกล่าวหา
เพราะมิฉะนั้นแล้วองค์กรอิสระต่างๆก็จะพังกันไปทั้งระบบ.
"สายล่อฟ้า"
ไทยรัฐออนไลน์
* โดย สายล่อฟ้า
* 22 ธันวาคม 2552, 05:00 น.
มติ 3 ต่อ 2 นั้นคือ นายประพันธ์ นัยโกวิท นายสมชัย จึงประเสริฐนางสดศรี สัตยธรรม เห็นว่าควรจะให้นายทะเบียนพรรคตัดสินชี้ขาด นายวิสุทธิ์ โพธิ์แท่น เห็นว่าควรจะให้ยุบพรรค แต่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ เห็นว่าควรยกคำร้อง
ซึ่งความเห็นของนายอภิชาตที่ให้ยกคำร้องนั้นตรง กับความเห็นของคณะอนุกรรมการที่ไปดำเนินการสอบสวนและได้ข้อสรุปว่าควรจะยกคำ ร้องหรือให้ยุติเรื่อง แสดงว่าไม่มีความผิดเกิดขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้นายอภิชาตนอกจากดำรงตำแหน่งประธาน กกต. แล้วยังควบตำแหน่งนายทะเบียนพรรคการเมืองด้วย
จึงต้องรับหน้าเสื่อไปเต็มๆ
จาก นั้นยังมีความเห็นต่างกันตามมาอีก เมื่อนางสดศรีระบุว่าถ้าหากนายทะเบียนมีความเห็นว่าควรยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็ส่งเรื่องให้อัยการได้เลย ไม่ต้องนำเข้าที่ประชุม กกต.แต่ถ้ามีความเห็นว่าควรยกคำร้องก็ต้องนำเข้าที่ประชุม กกต.เพื่อลงมติ
แต่ ปรากฏว่าความเห็นของนางสดศรีต่างกับความเห็นของกกต.อีก 2 คน ซึ่งตรงกับความเห็นของนายอภิชาตที่ระบุว่า หากนายทะเบียนพรรคเห็นว่าสมควรยกคำร้องก็ดำเนินการได้เลย เพียงแต่ แจ้งให้ที่ประชุม กกต.รับทราบเท่านั้น ไม่มีการลงมติใดๆ
เว้นแต่มี ความเห็นว่าสมควรยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็จะเสนอให้ กกต.ลงมติเพื่อให้ความเห็นชอบแล้วจึงส่งให้อัยการพิจารณาว่าสมควรจะส่งให้ ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดในขั้นสุดท้ายหรือไม่
จะเห็นได้ว่าความเห็นของทั้ง 3 กกต.จะต่างกับความเห็นของนางสดศรีแบบตรงกันข้าม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตีความกันอย่างไร
นี่ เป็นเพียงแค่ระเบียบปฏิบัติ ไม่ใช่การตีความด้านกฎหมายก็ยังนัวเนียถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะนางสดศรีนั้นมักชอบออกข่าว ชอบพูด ชอบแสดงความเห็นจนเกิดปัญหามาหลายครั้ง
ที่สำคัญมักจะสวนทางกับประธาน กกต.อยู่เสมอ
และเป็นเป้าทำให้คนภายนอกมองเห็นว่าใน กกต.ก็มีความแตกแยก เป็นช่องทางที่ทำให้ถูกโจมตีในเรื่องมาตรฐานการพิจารณาตัดสิน
อย่าง ไรก็ดี เมื่อมาถึงขั้นนี้จึงอยู่ที่ว่านายอภิชาตในฐานะนายทะเบียน พรรคการเมืองจะตัดสินอย่างไร เพราะมันชัดเจนแล้วว่ามีความเห็นให้ยกคำร้อง ดังนั้น เมื่อมีอำนาจตัดสินใจเต็มๆ ก็คงต้องยืนความเห็นเดิม จะมากลับลำกลางทางก็จะเสียคนได้
หากเป็นเช่นนี้ประชาธิปัตย์ก็รอดตัวไป
แต่ นายอภิชาตคงจะถูกตีกระหน่ำอย่างแน่นอนด้วยข้อกล่าวหาต่างๆนานา โดยเฉพาะเยื่อใยที่มีต่อประชาธิปัตย์ แม้จะยืนยันว่าการตัดสินใจต่างๆในฐานะเคยเป็นผู้พิพากษาต้องว่ากันไปตาม กฎหมาย พยานหลักฐานต่างๆ
ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่านายอภิชาตจะแสดงเหตุผล คำอธิบายให้สังคมยอมรับได้มากน้อยแค่ไหนว่าการให้ยกคำร้องนั้นรับฟังได้หรือ ไม่ สามารถตอบโจทย์ตอบคำถามได้ครบถ้วนกระบวนความหรือไม่
ที่สำคัญก็ คือข้อกล่าวหาว่าองค์กรอิสระในปัจจุบันดำเนินการในลักษณะ 2 มาตรฐาน โดยเฉพาะจากพรรคเพื่อไทย เสื้อแดง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ดังนั้น การตัดสินใจของนายอภิชาตและคำอธิบายต่างๆ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้เห็นว่าการชี้ขาดต่างๆ เป็นไปตามข้อกฎหมาย พยาน หลักฐานที่ปรากฏ ไม่ใช่ 2 มาตรฐานดังข้อกล่าวหา
เพราะมิฉะนั้นแล้วองค์กรอิสระต่างๆก็จะพังกันไปทั้งระบบ.
"สายล่อฟ้า"
ไทยรัฐออนไลน์
* โดย สายล่อฟ้า
* 22 ธันวาคม 2552, 05:00 น.